2554/12/03

[MV] 5th December 2011 : '84th Long Live The King of Thailand' - 'ในหลวงของแผ่นดิน'



5th December - H.M. King of Thailand Birthday (Wan Chalerm).

An important public holiday is held on 5 December to celebrate the birthday of His Majesty King Bhumibol Adulyadej, the world's longest reigning monarch. Known in Thai as 'Wan Chalerm', the occasion is marked by an outpouring of love and reverence by Thai people throughout the kingdom and around the world.

His Majesty King Bhumibol Adulyadej, or King Rama IX, ascended the throne on 9 June 1946. The King has won a special place in the hearts of the Thai people through his combination of devotion to the welfare and development of his people, and a keen understanding and awareness of political and social issues. As an institution, His Majesty has provided a firm foundation for the country to weather the trials and turmoil that have beset the region since the end of World War II. Today, His Majesty continues to play a central role in a wide spectrum of national and social development schemes.

On 5 December, buildings and homes all over the country are elaborately adorned with flags, portraits of His Majesty and bunting, predominantly in the color yellow. Around the Grand Palace and Ratchadamnoen Avenue areas of Bangkok, thousands of vividly colored marigolds decorate the streets. On the evening of the holiday itself, the streets around Ratchadamnoen and Sanam Luang are closed to traffic and thousands of people take to the streets. Spectacular fireworks displays are held and the atmosphere is joyous and festive. The best way to enjoy the atmosphere is to take a bus to the Rattanakosin area, and just stroll along the crowded but traffic-free streets for a truly memorable experience.


'84th Long Live The King of Thailand'



'ในหลวงของแผ่นดิน'


มอง เห็นพระเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางคนมืดมัว เหมือนเห็นแสงทองส่อง
ใจ ตื้นตันเพียงได้มอง พนมมือทั้งสอง ก้มลงกราบด้วยหัวใจ
มอง พระผู้ทรงเมตตา เฝ้าดูแลประชา ทั่วอาณาใกล้ไกล
เมื่อยามอ่อนล้า หมดหวังพระองค์อยู่เป็นหลักนำหัวใจ
ยึดเหนี่ยวอยู่ภายในว่าวันพรุ่งนี้ยังมีหวัง

ในหลวงของแผ่นดิน หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่
หยดน้ำหยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน
ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน
ในหลวงของแผ่นดิน ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน
ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น

ในหลวงของแผ่นดิน ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน
ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่างใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น
แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ
มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม

ในหลวงของแผ่นดิน หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่
หยดน้ำหยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน
ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน
ในหลวงของแผ่นดิน ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน
ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น
แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ
มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม



-----------------------------------------


2554/10/14

[ด่วน]...ศูนย์บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำ / เบอร์โทรฉุกเฉิน...


ตอนนี้พี่น้องของเราในหลายจังหวัดกำลังเดือดร้อนประสบภัยน้ำท่วม

AIS/ DTAC/ TrueMoveได้ร่วมกับครอบครัวข่าว 3

ขอเชิญชวนลูกค้ามือถือทั้งแบบเติมเงินและรายเดือน บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

ผ่าน SMS ข้อความละ 10 บาท โดยพิมพ์ “3” หรือข้อความใดๆ ก็ได้ ส่งมาที่หมายเลข 4567899

เพื่อนำไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม
โดยเงินบริจาคที่ได้รับทั้งหมดมอบให้ครอบครัวข่าว 3 โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นครับ


---------------------


สำหรับ Call Center Network ติดตามสถานการณ์และดูคำร้องขอความช่วยเหลือผ่านทวิตเตอร์


@thaiflood - ศูนย์ข้อมูลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
@Rawangpai -สถานีโทรทัศน์เพื่อประโยชน์สาธารณะ การเตือนภัยพิบัติธรรมชาติ
@BKK_BEST - รับแจ้งและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ท่อตัน ฝาท่อชำรุด น้ำเน่าเสีย@
@floodcenter- ศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย
@thaiflooding - ศูนย์ข่าวรายงานการแจ้งเตือนน้ำท่วมนาที ต่อนาทีโดยอาสาสมัคร-นักศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ
@help_thaiflood-สร้างขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
@Asa_Thai - อาสาคนไทยช่วยน้ำท่วม
@PR_RID - กรมชลประทาน สำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กลุ่มประชาสัมพันธ์ฯ โทร.022410965 สายด่วน 1460 สอบถามสถานการณ์น้ำ 026692560(24ชั่วโมงช่วงวิกฤติ)
@ndwc_Thai - ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
@Aormortor - องค์การนศ.ธรรมศาสตร์ (ทวิตเตอร์ประสานงานกลางศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยมธ.)
@ @bangkokgovernor - ทวิตเตอร์กทม.


-----------------------



ข้อมูลบริจาคเงิน


* มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศร์ ออมทรัพย์ เลขที่ 020-2-53333-8 หรือ ธ.กสิกรไทย สาขาถนนหลังสวน เลขที่ 082-2-66600-0 http://bit.ly/psfe5U
* มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก ที่ Counter Service ของ 7-11 ทุกสาขา
* มูลนิธีโอเพ่นแคร์ (www.opencare.org): บัญชี กองทุนร้อยนํ้าใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตลอดลำนํ้ายมมูลนิธีโอเพ่นแคร์ ธ.ไทยพาณิชย์ 402-177853-3 http://on.fb.me/oLnwNj
* ArsaThai (พรรคประชาธิปัตย์): มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ธ.กรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง เลขที่ 068-0-02-3607
* อสมท: บัญชี "อสมท รวมใจ ช่วยภัยน้ำท่วม" ธ.กรุงไทย สาขาอโศก ออมทรัพย์ เลขที่ 015-015-9994-4
* สำนักนายก: บัญชี “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี” ธ.กรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล ออมทรัพย์ เลขที่ 067-0-06895-0 ลดหย่อนภาษีได้
* ไทยพาณิชย์: บัญชี “มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์เพื่อผู้ประสบภัย” สาขา ATM & SCB Easy เลขที่ 111-3-90911-5
* กรมการศาสนา: บัญชี “สงเคราะห์พระภิกษุสามเณร และผู้ประสบภัย” ธ.กรุงไทย เลขที่ 059-1-29006-5
* SpringNews TV: ชื่อบัญชี "ร่วมมือ ร่วมใจ เพื่อผู้ประสบภัย" ธ.กรุงเทพ เลขที่ 196-075084-0 http://lockerz.com/s/137860608
* ครอบครัวข่าว 3: บัญชี "ครอบครัวข่าว 3 ช่วยผู้ประสบอุทุกภัย 54" กระแสรายวัน ธ.กรุงเทพ สาขามาลีนนท์ เลขที่ 014-3-00444-8
* บริจาคช่วยน้ำท่วมทาง SMS: AIS/DTAC/TrueMove พิมพ์ 3 ส่ง 4567899 (10 บ/ครั้ง) มอบครอบครัวข่าว 3 http://twitpic.com/6k3gk6
* ไปรษณีย์: ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เปิดจุดรับบริจาคเงิน ทุกที่ทำการทั่ว ปท.กว่า 2,000 แห่ง
* กทม. : บัญชี “กองทุนกรุงเทพมหานครช่วยเหลือผู้ประสบภัย” ธ.กรุงไทย สาขาถนนข้าวสาร เลขที่ 027-0-17081-2
* แต้มสะสม KBank Reward Point: ใช้บริจาคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้ ผ่านสภากาชาดไทย (ถึง 31 ต.ค.) รายละเอียด http://ow.ly/6z7ky
* มูลนิธิราชประชา: บัญชี “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” ออมทรัพย์ ธ.ไทยพาณิชย์ เลขที่ 401-6-36319-9 http://t.co/HwMnGoEh
* มูลนิธิวิจัยและพัฒนาระบบยา+กองพลที่ 1 รักษาพระองค์: เพื่อจัดซื้อ “ชุดยาสู้น้ำท่วม” รายละเอียดบริจาค http://ow.ly/6zt2w
* สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง: บัญชี "สถาปัตย์รวมน้ำใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาย่อยเทคโนโลยีฯ เจ้าคุณทหาร เลขที่ 088-251250-8 (แจ้งยอดโอนได้ที่ 02-329-8366 คุณภานิดา ผู้มีโชคชัย หรือ Email ได้ที่: misspanida@yahoo.com รายละเอียด http://ow.ly/6F81L
* วุฒิสภาช่วยน้ำท่วม บัญชี "วุฒิสภาช่วยน้ำท่วม ธ. กรุงไทย สาขารัฐสภา ออมทรัพย์ เลขที่ 089-0-22222-3 สอบถาม 0-2244-1777-8, 0-2244-1578 หรือสายด่วนวุฒิสภา 1102
* @POH_Natthawut บัญชี "ทวิตสกิดใจคนไทยรักกัน" ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาโฮมโปร ราชพฤกษ์ เลขท่ี 375-212428-9
* จ.เชียงใหม่ บัญชี "กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณะภัย" ธ.กรุงไทย สาขาข่วงสิงห์ เลขที่ 547-0-37532-3


----------------------------------



เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน

* หน่วยแพทย์์เคลื่อนช่วยผู้ประสบภัย (สาธารณสุข) เจ็บป่วยฉุกเฉินขอความช่วยเหลือ โทร 1669 (24 ช.ม.)
* สายด่วน ปภ. (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) 1784 รับแจ้งเหตุน้ำท่วม 24 ชั่วโมง
* สายด่วน กรมชลประทาน โทร 1460 หรือ 02 669 2560 (24 ชั่วโมงช่วงวิกฤติ)
* สายด่วน กรมทางหลวง 1586 ตลอด 24 ชั่วโมง
* ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม 1356
* กรมทางหลวงชนบท 1146
* การรถไฟแห่งประเทศไทย 1690
* บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) 1490
* ตำรวจทางหลวง โทร. 1193 สอบถามเส้นทางน้ำท่วม ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
* หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โทร 1669 กู้ชีพฟรี 24 ชั่วโมง
* มูลนิธิประชาร่วมใจ นครศรีฯ พร้อมกู้ภัย โทร. 075 345 599
* การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1129 ตลอด 24 ชั่วโมง
* กรณีเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ จ.จันทบุรี ติดต่อ กู้ภัยสว่างกตัญญูธรรมสถานจันทบุรี 039-346347
* ICT ตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับเหตุฉุกเฉินแก้ไขปัญหาน้ำท่วม รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง โทร 192 ทั่วประเทศ
* ขอความช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วมกับไทยพีบีเอส โทร 02-790-2111 หรือ sms มาที่ 4268822 @ThaiPBS
* ผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วม กทม ปริมณฑลและภาคกลาง ติดต่อ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 1 โทร 02-281-5443
* ศูนย์อุทกฯ ภาคเหนือ : 053-248925, 053-262683
* ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองบิน 41 จ.เชียงใหม่ พร้อมช่วยเหลือประชาชน โทร 053202609
* ศูนย์เฉพาะกิจป้องกันสัตว์อันตราย สวนสัตว์เชียงใหม่ แจ้งจับ 053-222-479 (24 ชั่วโมง)


---------------------




2554/09/08

...รอยไม้ที่ขีดลงในแม่น้ำ...



Original : http://proshot4u.blogspot.com/

...รอยไม้ที่ขีดลงในแม่น้ำ...


รอยไม้ที่ขีดลงในแม่น้ำ
ใบไม้ที่หลุดร่วงจากขั้ว
ต่างถูกลบเลือนและปลิดใบ
รวดเร็วเกินกว่าที่จะยับยั้งไว้ได้ฉันใด

เฉกเช่นชีวิตมนุษย์และกาลเวลา...
ที่หมุนผ่านและร่วงโรยอย่างรวดเร็ว
เกินกว่าที่จะฉุดรั้งไว้ได้เช่นกัน...
เหมือนเช่นพุทธพจน์ที่กล่าวไว้
“ยถาวาริวโห ปูโร...คัจฉัง นะ ปริวัตตติ
เอวมายุ มนุสสานัง...คัจฉัง นะ ปริวัตตติ"

"ห้วงน้ำที่เต็มเปี่ยมมีแต่ไหลลง
ย่อมไม่ไหลกลับฉันใด
อายุของมนุษย์ทั้งหลายมีแต่ล่วงไป ๆ
ไม่ถอยหลังกลับเลยฉันนั้นเหมือนกัน”

และเมื่อคุณจากไปเพียงไม่นาน...
ผู้คนรอบข้างก็จะลืมเลือนคุณ
เช่นดั่งรอยไม้ที่ขีดลงในแม่น้ำ...
และใบไม้ที่หลุดจากขั้ว...
สิ่งที่จะทำให้พวกเขาจดจำคุณได้ไม่ลืมเลือน...
ก็คือความดีและรอยประวัติศาสตร์
อันทรงคุณค่าที่คุณสร้างไว้เท่านั้น...


กาญจน์มุนี ศรีวิศาลภพ (ร้อยตะวัน)
7 มิถุนายน 2548


Kanmunee@Copyright 2007



2554/08/23

[Thai Tale] "Pra Suthon - Manora" The famous love story from epic of Thailand.



"Pra Suthon - Manora" The famous love story from epic of Thailand.
Translation to English by Marian Davies
Editor by Roytavan

"Pra Suthon - Manora" The famous love story from epic of Thailand in Ayutthaya era.
A story told and passed on through generations since the Ayutthaya period and which inspired a poem by King Rama V of Thailand. This tale about 'Kinnaree Manora' a goddess in thai tale. Kinnaree Manorah was a princess of Thai legend and was the youngest of the seven Kinnaree daughters of King Prathum and Queen Jantakinnaree. She lived in the mythical Mount Grairat kingdom. The Seven Kinnaree appeared as half woman half swan. They could fly or shed their wings to assume human form as they pleased.



'Kinaree' or 'Thep Kinnaree' is one of the loveliest of the Himmapan beings. Described as a beautiful half-woman, half swan, with the head and torso of a woman yet below the delicately tapered waist she has the body, tail and legs of a swan. Kinnaree also has human arms and the wings of a swan. While the Kinnaree has a male counterpart and is similar in form. The Kinnaree is renowned for her excellence in singing, dancing .




"Pra Suthon - Manora" Synopsis...

Long ago, in the oldest part of Siam, called Panchala Nakhon, there lived a handsome young man named Prince Suthon he was the only child of King Athityawong and Queen Chanthathevi. The young prince was a remarkable young man, handsome, intelligent, and kind. It seemed as if he had mastered every grace and showed an aptitude for many skills, but in one sport, archery, he had exceptional ability. In the kingdoms to the east and west of Panchala Nakhon, Prince Suthon was called Good Arrow.

Good King Athityawong and Queen Chanthathevi were proud of their son and were determined to find him a wife who was as beautiful as the rose and as gentle as a doe. The king and queen observed many young ladies, but none of them showed promise of being a gracious and noble queen. One spoke with a harsh twang in her voice. Another lacked grace in her walk The third was not clever enough, and the fourth was plain. The fifth could not sing sweetly. The sixth could not dance gracefully. The seventh lacked regal poise. When the eighth princess was rejected because she giggled too much, the entire kingdom became concerned.

One day, Pran (Hunter) Boon, the most famous hunter in Panchala Nakhon, discovered the secret bathing pool used by King Tumerat seven beautiful daughters King Tumerat was a great king who ruled over the Bird People in the far north. It is said his daughters were the most beautiful young ladies in the world. They all wore soft-feathered wings that could be removed at will. Without the wings the Bird Maidens looked exactly like other girls.

When Pran Boon saw the seven pairs of feathered wings lying on the grass, he quickly ran to the kind old serpent, the Naga of Champoo Chit, and borrowed his magic noose. Then he stealthily crept along the bank of the bathing pond and snared Manora, the youngest and fairest of all the Bird Maidens. Pran Boon carried Manora to the palace and presented her to King Athityawong and Queen Chanthathevi.

"Princess Manora will make an ideal bride for our Prince
Suthon," said Boon. Boon's prediction was fulfilled, for Manora's natural loveliness and gentle charm captivated every member of the royal household.

Prince Suthon and Princess Manora fell in love and the entire kingdom rejoiced at the news of their wedding.

On the day they were wed the prince said, ''Manora, I am the most fortunate man alive. .My beautiful bride, I shall do everything I can to bring you happiness.''

Manora answered, "Suthon, my only request is that you never leave my side. When you are near me, I am happy. When I am alone, I think of my father and my Sisters and I become sad."

Unfortunately, Prince Suthon was forced to leave Manora soon after their wedding.

"I must help my father's soldiers defeat the enemies who attack at the northern boundary. Please understand," said the prince.

"I understand," said Manora.

The prince asked a trusted friend to take care of Manora. "Guard her well," he said, "She is the jewel of our kingdom, and the treasure of my life. Friend, do not neglect her. Watch her night and day, and as a reward for your service, I shall make you the Royal Court Counselor."

Suthon's friend promised and all would have gone well except for one thing, the old court counselor had overheard the conversation.

Late that night King Athityawong had a most strange dream. He called the old court counselor and said, "Last night, in my sleep, I saw my intestine unwind from my body. It rose like an enormous rope and wrapped itself around the entire kingdom of Panchala Nakhon. What does this mean?"

The jealous old man immediately saw a way to save his position. He rubbed his chin and looked very wise as he said, "Your Majesty, your dream is a sign that a great evil will soon fall upon you, your family, and the kingdom. So great is this evil that all may die in its grasp."

The king sat up very straight and whispered, "How can we prevent this evil from coming?"

"There is only one way to appease the gods, Your Majesty," said the court counselor.

"I'll do anything you say," murmured the king.

"You must make a blood sacrifice. You must sacrifice the Bird Woman."

"No," shouted the king, "Prince Suthon loves Manora more than anything in this world."

"Does she mean more to you and the prince than your own beloved queen and all your subjects?"



The king had no choice; yet, the horror of his decisions drove him into isolation. He placed guards at his door and ordered them to keep everyone away, including the queen.

The queen thought her husband had lost his mind. She spent each day trying to see him and then, when that failed, Consoled Manora, "Don't worry, child," she said, "we shall find a way for you to escape."

"Good mother, you know Suthon would not want me to die. Please, bring me my wings," begged Manora.

The next day a crowd assembled to watch the blood sacrifice. When the gates of the courtyard swung open, Manora was not tied to the stake. Her graceful wings were attached to her body. She was swaying as gently as a flower in the wind. Her arms moved slowly and her legs guided quick running steps. Suddenly, her wings stretched outward and as quietly as a swallow she flew over the palace and into the sky.

"May she reach her home safely," whispered the Queen.

"I wish her well," said the king.

Manora flew immediately to the house of the wise old hermit who lived in the clearing near her bathing pound. She paused just long enough to say, "Wise one, if my husband comes to find me, please give him my ring of red rubies."

"Bird Maiden, you know the prince will seek to the ends of the earth for you. I shall give him your ring and my blessing. "

Manora's eyes filled with tears as she said, "What you say is true. Please, try to protect him from harm. Will you teach him the prayers which will protect him from evil?" "I will do that and more, Manora. I shall teach him the language of the birds and animals, and I shall give him some powerful magic."

Manora gently fluttered her wings and flew into the sky, heading in the direction of Mount Krailot where her father and six sisters were waiting to welcome her home again.

As soon as Prince Suthon discovered what had happened, he set out to seek his wife. For many days lee traveled into areas where no one had gone before. Wherever he went he asked, "Can you direct me to the land of the Bird People If But always the answer was the same until the day he discovered the wise hermit of the north country.

"Yes, I can direct you to the land of the Bird People. Tile way is perilous, but if you know the secret prayers, and carry my magic lotion, I think you will be able to arrive there safely. For added protection I shall give you my pet monkey. Never put a berry or a jungle fruit in your mouth unless the monkey eats it first," said the hermit.

"If you do all this, I shall be eternally grateful," said the prince.

The hermit gave Prince Suthon Manora's ring of red rubies, taught him special prayers, the language or beasts and birds, and directed him northward. For Seven wars and seven months Suthon traveled through jungles, forests, thorny fields, and over the highest mountains. Then he met a monstrous creature called the Yak.

The Yak stood seven times taller than the tallest man. His breath was a flame of blue fire. Smoke sifted through his nostrils and rose into the sky. Prince Suthon said the secret prayers, and the fierce Yak knelt down before him.

The next obstacle was a river of blazing, dancing red flames. The prince said the secret prayers and immediately a huge boa constrictor appeared. He stepped upon its back and safely rode over the river of fire to the opposite bank.

The prince had scarcely taken a dozen steps when he discovered his path was blocked bit an enormous tree unlike any he had ever seen before. The thick jungle growth prevented him from going around it. The strong, sturdy roots prevented him from digging under it. With no alternative, the prince climbed the tree, but fell asleep in the branches.



The next morning he was awakened by the chirping of two great birds. They were larger than tigers and wore glittering feathers of sparkling gold and gleaming feathers of shining silver. Prince Suthon listened carefully, and to his great surprise, he discovered that he was able to understand the birds.

The first giant bird said, "If we go to Mount Krailot tomorrow, we shall have a feast."

"Oh yes, I heard King Tumerat was having a celebration in honor of his youngest daughter. By all means, we should go, but first we must rest. Mount Krailot is far to the north," the second bird replied.

Prince Suthon unleashed his little monkey and set him free. Then he climbed on the back of one of the huge gold and silver birds and nestled under the metallic feathers.

Early the next morning the great birds stretched their wings and flew directly to the lotus pond in King Tumerat's garden.

Prince Suthon arrived just in time to see a party of bird hand maidens carrying golden pitchers to the pond.

"Our Princess Manora cries all day, no matter what we do. She yearns for her prince who is far away beyond the mountain blue," sang one little servant.

"Good maiden, are you carrying your golden pitcher to Princess Manora's chamber?"

"Indeed, I am," said the little girl.

"It is a heavy burden for one so small," said the Prince.

"Here, let me carry it for you."

The prince slipped off his ring of red rubies and dropped it into the golden pitcher.

When the hand maiden splashed her pitcher of water over Manora, the ring of red rubies clinked before her.

"Tell me quickly," shouted Manora, "have you seen a strange man in our garden?"

"Yes, My princess, he helped me carry the golden urn full of water."

Manora grabbed her servant's hands and danced merrily around the room.

"Quickly, take perfumes, jewels, and silken clothes to him. He is my husband, and he must be dressed properly before he meets my father."

An hour later Prince Suthon was presented to Manora's father, the great King Tumerat.

"Prince Suthon, we Bird People are impressed with your devotion to Manora; however, before you may claim her as your won, you must prove yourself worthy."

"Your Highness, I have traveled for seven years, seven months, and seven days looking for Manora. Now that I have found her, I shall do anything you request in order to gain your blessing on our marriage," said the prince.

"Your first test is a test of strength. Can you lift the solid stone bench in my garden?"

Prince Suthon calmly walked to the bench, knelt before it and prayed to the gods for strength. The next moment he grasped the stone bench and raised it above his head. The gasp of those present was like a swish of wind in the treetops.

"Well done," said the King. "Now, since you wish to take Manora from her homeland, you must prove that she is the only maiden you desire. Can you select her from a group of seven young ladies."

"I would know Manora anywhere," said the prince.

But he wished he had not spoken so quickly because the next instant seven identical Manoras danced in front of him. The prince prayed to the gods for help and in response a golden butterfly appeared. It flew three times around the head of the girl in the center. Prince Suthon took her hand, led her to the king, and said, "This is my Manora.'' The king smiled with approval.

"Only one task remains, Prince Suthon. You must shoot an arrow through seven palm boards, seven figwood boards, seven plates of copper, seven plates of iron, and through seven bullock carts filled with sand. If you can do this difficult task, Manora shall be yours forever."

The prince did not pause for a moment. After all, his name had come to mean Good Arrow. With one quick, sure stroke he placed his sharpest arrow in his crossbow and let it fly. Like a stroke of lightning the arrow pierced through the palm boards, figwood boards, copper plates, iron plates, and sand-laden bullock carts. It is said that even then the arrow did not waver as it soared straight into the open sky and disappeared from view.

The king watched the arrow fade into the distance and said, "Prince Suthon, you may take Princess Manora to your homeland."

From that eventful day until the end of their lives, Princess Manora and Prince Suthon lived happily ever after in the prosperous kingdom of Panchala Nakhon.


[นิทานเรื่องเล่า] พระสุธน - มโนราห์ วรรณกรรมเลื่องชื่อในสมัยอยุธยา



"พระสุธน - มโนราห์" วรรณกรรมเลื่องชื่อในสมัยอยุธยา...

"พระสุธน - มโนห์รา" วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมกันมากในสมัยอยุธยาและไม่ทราบผู้แต่ง ได้แก่ เรื่องพระสุธน ซึ่งได้นำเค้าเรื่องเดิมมาจาก "ปัญญาสชาดก" ที่เรียกว่า "สุธนชาดก" และได้นำมาทำเป็นบทละครเรื่อง "นางมโนห์รา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

นางมโนราห์...เป็นธิดาองค์เล็กของท้าวทุมราชผู้เป็นพระยากินนร นางมีพระพี่นางอีกหกองค์ล้วนมีหน้าตาเหมือน ๆ กัน งดงามยิ่งกว่านางมนุษย์ รูปร่างหน้าตาของพวกเขาเหมือนมนุษย์แต่มีปีกและหางที่ถอดออกได้ เมื่อใส่ปีกใส่หางแล้วกินนรก็สามารถบินไปยังที่ต่าง ๆ ได้ นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำอโนดาต เจอพรานบุญที่ต้องการจับตัวนางกินรีเพราะเห็นว่านางงดงามคู่ควรแก่พระสุธน โอรสแห่งเมือง ปัญจาลนคร พรานบุญจึงไปยืมบ่วงนาคบาศจากท้าวชมพูจิต พญานาคราช ซึ่งได้ให้ยืมบ่วงนาคบาช เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตเอาไว้และเห็นว่าพระสุธนกับนางมโนราห์เป็นเนื้อคู่กัน พรานบุญได้จับนางมโนราห์ไปถวายแค่พระสุธน พระสุธนเห็นเข้าก็เกิดหลงรักนางและพานางกลับเมือง และได้อภิเษกกัน

ต่อมาปุโรหิตคนหนึ่งได้เกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธนเพราะว่าพระสุธนไม่ให้ตำแหน่งแก่บุตรของตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ พระบิดาได้ทรงพระสุบิน ปุโรหิตได้ทำนายว่าจะเกิดภับพิบัติครั้งใหญ่ ให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญ ซึ่งท้าวอาทิตยวงศ์ได้ยินยอมตามนั้น นางมโนราห์รู้เข้าก็เกิดตกใจ จึงออกอุบาย ของปีกกับหางขอนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟก่อนจะตาย เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางก็ร่ายรำได้สักพักก็บินหนีไป ไปเจอฤาษีก็ได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกว่าไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน เมื่อนางมโนราห์ได้กลับไปที่เมืองก็จะได้มีพิธีชำระล้างกลิ่นอายมนุษย์ ฝ่ายพระสุธนที่กลับจากสงครามได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนราห์ เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจะติดตามนางมโนราห์ต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ เป็นเพราะเวรกรรมแต่ชาติที่แล้วนั่นคือ "มโนราห์"

นางมโนราห์ คือ พระนางเมรี และ พระสุธน คือ พระรถเสน ทำให้พระสุธนได้รับความลำบากมาก เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาที่แหวนของนางพอดี ทำให้นางรู้ว่าพระสุธนมาหานาง นางจึงได้แจ้งแก่พระมารดา ซึ่งพระบิดาต้องการทราบว่าพระสุธนมีความรักจิงต่อนางมโนราห์หรือไม่ ได้รับพระสุธนมาที่เมืองและให้พระสุธนบอกว่านางไหนคือนางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์และพี่ๆๆมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน ร้อนถึงองค์อินทร์ ต้องแปลงกายมาเป็นแมลงวันทอง จับที่ผมของนางมโนราห์ ทำให้นางมโนราห์และพระสุธนได้เคียงคู่อย่างมีความสุข



พระสุธน - มโนราห์ เรื่องย่อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งชื่อว่า "ปัญจาลนคร" ปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมทรงพระนาม ว่า "อาทิตยวงศ์" พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า "จันทาเทวี" ซึ่งต่อมาได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า "พระสุธน" เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้นก็มีความเฉลียวฉลาดและพระร ูปโฉมงดงาม ยากที่จะหาราชกุมารในแว่นแคว้นอื่นเทียบเคียงได้ ครั้งนั้นมีพญานาคราชตนหนึ่งมีนามว่า "ท้าวชมพูจิต" มีฤทธิ์อำนาจมากสามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณา จักรใดก็ได้ พญานาคราชเห็นพระเจ้าอาทิตย์วงศ์เป็นพระราชาที่ตั้งอ ยู่ในทศพิธราชธรรมจึงบันดาลให้เมืองปัญจาลนครอุดมสมบ ูรณ์มีฝนตกต้องตามฤดูกาล หากแต่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับปัญจาลนครคือ เมืองนครมหาปัญจาละซึ่งปกครองโดยพระราชาที่ไม่ตั้งอย ู่ในทศพิธราชธรรม พระนามว่า "พระเจ้านันทราช" และจากการที่ทรงปกครองด้วยการกดขี่อาณาประชาราษฏร์นี ้เองจึงทำให้อาณาจักรของพระองค์ ประสบกับความแห้งแล้งข้าวยากหมากแพง เพื่อหนีจากความยากเย็นแสนเข็นนี้บรรดาประชาราษฏร์จึ งพากันอพยพไปอาศัยอยู่ในเมืองปัญจาลนคร

พระเจ้านันทราชมีจิตริษยาพระเจ้าอาทิตยวงศ์และในขณะเ ดียวกันก็แค้นเคืองท้าวชมพูจิตผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าม ีใจลำเอียงในขณะบันดาลให้ฝนฟ้าตกบนพื้นโลก เพื่อล้างแค้นท้าวชมพูจิต พระเจ้านันทราชจึงทรงปรึกษากับปุโรหิต ผู้ซึ่งรับอาสาไปหาผู้ที่สามารถฆ่าพญานาคได้ และแล้วก็ได้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งมีมนต์วิเศษสูงกว่าพญ านาคราช หลังจากได้รับทราบพระประสงค์ของพระราชาแล้ว พราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังสระใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของพญา นาคราชแล้วเป่ามนต์ลงในสระใหญ่ยังผลให้น้ำปั่นป่วน และเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสระ ในขณะประกอบพิธีอยู่นั้นพราหมณ์ต้องเข้าไปในป่าเพื่อ หารากไม้มาทำเป็นเชือกไว้จับพญานาคราช ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิเศษของพราหมณ์ ท้าวชมพูจิตเกิดความรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผาจึงต้องขึ ้นจากสระ แล้วแปลงกายเป็นพราหมณ์หนุ่มเพราะรู้ตัวว่าอันตรายได ้เข้ามาใกล้ตนแล้ว แม้ตัวเองจะมีฤทธิ์เดชแต่ก็หาต้านทานพราหมณ์เฒ่าได้ไ ม่ ดังนั้นจึงคิดหาทางทำลายพิธีของพราหมณ์ผู้มีจิตคิดกำ จัดตน

ในขณะเดินไปมาอยู่ในป่า ท้าวชมพูจิตในร่างของพราหมณ์หนุ่มก็พบกับพรานป่าผู้ห นึ่งชื่อพรานบุญกำลังออกป่าล่าสัตว์อยู่พอดีจึงเข้าไ ปทักทายและถามถึงบ้านเมืองของพรานผู้นั้น พรานป่าบอกว่าเขาเป็นชาวเมืองปัญจาลนครซึ่งมีความอุด มสมบูรณ์มากเพราะได้รับความอนุเคราะห์จากพญานาคราช หากมีใครคิดจะทำอันตรายแก่พญานาคราชพรานป่าสาบานว่าเ ขาจะฆ่าบุคคลผู้นั้นเสียโดยไม่รีรอ ท้าวชมพูจิตดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น จึงแสดงตนเป็นพญานาคราชและเล่าเรื่องภัยอันใหญ่หลวงใ ห้พรานฟัง เพื่อทำลายพิธีของพราหมณ์เฒ่าเสียพรานบุญจึงยิงเขาตา ยด้วยลูกธนู พญานาคราชดีใจมากและขอบคุณพรานบุญที่ได้ช่วยเหลือเขา ไว้ แล้วก็ชวนพรานบุญไปเที่ยวชมนครใต้พิภพของเขา พญานาคราชสัญญาว่าจะช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พรานบุญ ร้องขอแล้วก็มอบสิ่งมีค่าให้พรานบุญไปมากมาย พรานบุญจึงอำลาพญานาคราชและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายแต่ ก็ยังชอบล่าสัตว์อยู่



วันหนึ่งในขณะที่เดินทางเข้าไปป่าลึก ได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่งชื่อกัสสปะ ผู้ซึ่งเล่าเรื่องกินรีให้เขาฟัง โดยปกติหมู่กินรีจากเขาไกรลาสจะบินมาลงเล่นน้ำในสระโ บกขรณีทุกๆ 7 วัน เมื่อพรานบุญเห็นความงามของกินรีก็คิดจะจับนางกินรีส ักนางหนึ่งไปถวายพระสุธนเพื่อเป็นของขวัญจากป่า แต่พระฤาษีก็บอกเขาว่าไม่มีหนทางจะจับนางได้นอกจากจะ ได้บ่วงบาศของพญานาคราชท้าวชมพูจิตเท่านั้น เพราะนางกินรีสามารถบินได้เร็ว พรานบุญจึงเดินทางไปพบท้าวชมพูจิตเพื่อขอยืมบ่วงบาศ ความจริงแล้วพญานาคราชไม่ต้องการให้พรานบุญขอยืมบ่วง บาศเพราะจะเป็นบาปแก่ตน แต่เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตตนไว้ให้พ้นภัยจากพราหมณ ์เฒ่า และได้ทราบจากการใช้มนต์วิเศษของตนตรวจสอบดูก็พบว่าน างกินรีที่ชื่อว่ามโนห์ราและพระสุธนเป็นเนื้อคู่กัน พญานาคราชจึงยอมมอบให้ไป หลังจากได้บ่วงบาศจากท้าวชมพูจิตมาแล้ว พรานบุญก็สามารถจับมโนราห์ซึ่งเป็นธิดาองค์หนึ่งในบร รดาธิดาทั้ง 7 คนของท้าวทุมราชได้ (ท้าวทุมราชเป็นพระราชาปกครองเขาไกรลาส) นางมโนห์ราซึ่งเป็นน้องสุดท้องไม่สามารถหนีบ่วงบาศที ่พรานบุญเหวี่ยงมาคล้องได้ พรานบุญนำนางไปยังปัญจาลนครและถวายพระสุธน ทันทีที่ทั้งคู่พบกันก็มีจิตรักใคร่ด้วยเคยเป็นคู่สร ้างกันมาแต่ปางก่อน ทั้งพระราชาและพระราชินีเองก็มีความรักเอ็นดูนางเพรา ะนางมีพระสิริโฉมงดงามและการอบรมอย่างขัตติยนารีจึงจ ัดพิธีอภิเษกสมรสอย่างเอิกเกริกให้ทั้งสองพระองค์ พรานบุญเองก็ได้รับรางวัลอย่างงามเช่นกัน

ฝ่ายปุโรหิตโกรธมโนห์ราเพราะเขาเองต้องการให้บุตรสาว ของตนอภิเษกสมรสกับพระสุธน แต่ว่าตอนนี้มโนราห์ได้ทำให้ความฝันของเขาสลายเสียแล ้วจึงคอยโอกาสที่จะได้แก้แค้นนาง และแล้วก็แอบไปคบคิดวางแผนกับเจ้าเมืองปัจจันตนครให้ ยกทัพมาตีเมืองของตนและเพื่อขับไล่ผู้รุกราน ปุโรหิตจึงทูลเสนอให้พระสุธนยกกองทัพออกปกป้องพระนคร ด้วยวิธีนี้เขาก็จะได้มีโอกาสดีกำจัดมโนห์ราออกไปเสี ยให้พ้นทาง คืนวันหนึ่งพระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสุบินว่ามียักษ์ตนหน ึ่ง เข้ามาในพระราชวังและพยายามจะควักเอาดวงพระทัยของพระ องค์ พระองค์ก็ทรงสะดุ้งตื่นจากบรรทม ปุโรหิตเจ้าเล่ห์จึงได้โอกาสงามกำจัดมโนราห์ออกไปเสี ยให้พ้นทางของบุตรสาวตนเอง เขาจึงทำนายว่าข้าศึกจะเข้ามาในพระราชวังและประหารพร ะองค์เสีย ประชาชนจะพากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและเมืองหลวงก็จ ะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น พระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัยจึงทรงรับ สั่งให้หาทางแก้ไขโดยด่วนปุโรหิตจึงกราบทูลว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดวงชะตาบ้านเมืองไม่ดีจะต้องใ ช้สัตว์สองเท้าและสี่เท้ามาทำพิธีสังเวยบูชายัญเพื่อ สะเดาะเคราะห์ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัยพระเจ้าข้า"

ในขณะเดียวกันนั้นเองคนสนิทของปุโรหิตก็เข้ามากราบทู ลพระราชาว่าทัพหลวงที่พระสุธนยกไปถูกข้าศึกตีพ่ายแพ้ แล้ว เพื่อเป็นการปัดเป่าลางร้ายปุโรหิตจึงกราบทูลว่าถ้าจ ะให้พิธีมีความศักดิ์สิทธิ์มายิ่งขึ้นจำเป็นต้องใช้ส ัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนกเช่นนางมโนราห์ก็จะเป็นการบูชาย ัญที่ดีเยี่ยม พระราชาและพระราชินีพยายามชักชวนให้ปุโรหิตเปลี่ยนไป ใช้สัตว์อื่นแทนที่จะใช้มโนราห์แต่เขาก็ยังยืนกรานเช ่นเดิม ทั้งสองพระองค์รู้สึกสงสารมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง และทรงคาดเดาไม่ถูกว่าพระโอรสจะรู้สึกเช่นไรเมื่อกลั บจากทัพแล้วไม่พบภรรยาสุดที่รักของตน ในพิธีพระราชาทรงให้ก่อไฟตามที่ปุโรหิตเสนอ แล้วให้ทหารไปทูลเชิญนางมโนราห์มาเข้าพิธีบูชายัญ นางมโนราห์ผู้น่าสงสารได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญถึงพระบิด า พระมารดาของนางและพระสุธน บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ในขณะนั้นเองนางมโนราห์ได้สติและเกิดความคิดที่จะหนี จากการถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมนี้ ดังนั้นนางจึงทูลขอพระราชาขอให้ได้รำถวายเป็นครั้งสุ ดท้าย เพราะนางเป็นกินรีผู้ซึ่งรักการร่ายรำ หลังจากที่พระราชาทรงอนุญาตแล้วนางจึงขอปีกและหางมาส วมใส่แล้วนางก็ออกร่ายรำด้วยท่วงท่าอันงดงามท่ามกลาง ฝูงชนอันเนืองแน่น ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเฝ้าดูการร่า ยรำอันงดงามอยู่นั้นเอง นางมโนห์ราก็ได้โอกาสหนีโดยถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและบ ่ายหน้าไปยังภูเขาไกรลาสท่ามกลางความตกตะลึกของฝูงชน นั้นเอง

หลังจากชนะศึกแล้วพระสุธนก็ยกทัพกลับพระนครแต่ก็ต้อง มาพบว่าภรรยาสุดที่รักของพระองค์ไม่ได้อยู่ในพระนครอ ีกต่อไปแล้ว พระองค์มีความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งและหลังจากทราบควา มจริงก็สั่งให้ประหารชีวิตปุโรหิตเสียในข้อหาทรยศ แล้วก็ทูลลาพระบิดาและพระมารดาออกตามหานางมโนราห์ แม้ว่าทั้งสองพระองค์จะพยายามทัดทานประการใดก็ไม่เป็ นผล พระสุธนยืนกรานที่จะเสด็จไปเพราะตนไม่อาจจะมีชีวิตอย ู่โดยปราศจากนางมโนราห์ได้ พระสุธนให้พรานบุญนำนางไปจนถึงสระโบกขรณีและได้เข้าไ ปนมัสการพระฤาษี พระฤาษีทูลให้พระองค์ทราบว่า นางมโนราห์ได้แวะมาหาตนและได้สั่งไว้ว่าหากพระองค์เด ินทางออกตามหานางก็ให้ล้มเลิกเสียเพราะว่าหนทางลำบาก มากและอันตราย แล้วพระฤาษีก็มอบผ้ากัมพลกับแหวนให้พระสุธนไปตามที่น างมโนราห์ขอร้องไว้ เมื่อได้เห็นของสองสิ่งพระสุธนถึงกับร่ำไห้ พระฤาษีรู้สึกสงสารพระสุธนและบอกพระองค์ว่านี้เป็นผล บุญกรรมแห่งอดีตชาติจึงทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากก ัน แล้วก็มอบผลยาวิเศษให้พร้อมกับชี้ทางให้พระสุธน



พระสุธนออกเดินทางเพียงลำพังโดยไม่ต้องการความช่วยเห ลือของพรานบุญ ผ่านป่าทึบซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะผ่านไปได้มีผลไม้มาก มายซึ่งล้วนแล้วแต่มีพิษ ด้วยความช่วยเหลือของลูกลิง พระสุธนก็จะเสวยผลไม้ที่ลูกลิงกินได้เท่านั้น เมื่อมาถึงป่าหวายซึ่งไม่สามารถจะผ่านไปได้เพราะล้วน แต่มีหนามพิษ พระสุธนจึงใช้ผ้ากัมพลห่มแล้วนอนนิ่งๆ ขณะนั้นนกหัสดีลิงค์เข้าใจว่าพระสุธนเป็นอาหารจึงคาบ พระองค์ไปไว้ในรังบนยอดไม้ก่อนที่จะบ่ายหน้าไปหาอาหา รเพิ่มอีก พระสุธนได้โอกาสหนีแต่ก็หวั่นพระทัยว่าจะมีอะไรรออยู ่เบื้องหน้าอีก หลังจากเดินทางมาพักหนึ่งก็ไม่สามารถจะไปต่อได้อีกเพ ราะมีภูเขายนต์สองลูกเคลื่อนเข้ากระทบกันตลอดเวลาโดย ไม่เปิดช่องว่างให้พระองค์ข้ามไปอีกทางหนึ่งได้ แต่หลังจากร่ายมนต์ที่พระฤาษีให้พระองค์ก็สามารถข้าม ไปโดยง่าย จากนั้นพระองค์ก็เดินทางมาถึงอีกป่าหนึ่งซึ่งเต็มไปด ้วยพืชและสัตว์มีพิษ พระองค์จึงใช้ยาผงวิเศษชโลมกาย เมื่อผ่านป่าพิษแล้วก็มาพบที่อยู่ของนกยักษ์ พระองค์แอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและรอเวลาค่ำ คืนนั้นนกผัวเมียคู่หนึ่งคุยกันถึงเรื่องการได้รับเช ิญให้ไปร่วมพิธีล้างกลิ่นสาบมนุษย์ให้นางมโนราห์ซึ่ง จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น พิธีนี้จัดให้มีขึ้นหลังจากมโนราห์กลับมาบ้านเมืองคร บ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน หลังจากได้ยินนกทั้งคู่สนทนากัน พระสุธนก็ปีนขึ้นไปในรังนกและซ่อนตัวอยู่ในขนนกตัวหน ึ่งโดยรอเวลาให้นกไปยังภูเขาไกรลาส ครั้นนกมาถึงสวนก็เกาะบนต้นไม้พระสุธนจึงเร้นกายออกจ ากขนนกแล้วซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ พระองค์เห็นเหล่านางกินรีกำลังนำน้ำจากสระอโนดาตเพื่ อไปสรงสนานนางมโนราห์จึงแอบเอาแหวนใส่ลงในหม้อน้ำ ขณะสรงน้ำนางมโนราห์เห็นแหวนก็จำได้ นางก็รู้ทันทีว่าพระสุธนได้มาถึงเขาไกรลาสแล้ว นางมีความยินดียิ่งนักและออกตามหาพระองค์ ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พบกัน มโนราห์พาพระสุธนเข้ามายังปราสาทของนาง ท้าวทุมราชทรงทราบข่าวและทรงเห็นใจที่พระสุธนมีความร ักนางมโนราห์อย่างมาก มิฉะนั้นก็คงจะไม่เดินทางมาไกลท่ามกลางอันตรายนานับป ระการ พระองค์คิดว่าเจ้าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความเป็นอัจ ฉริยะและความสามารถเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ต้องทดสอบความรักที่พระสุธนมี ต่อธิดาของพระองค์

ครั้นถึงวันทดสอบท้าวทุมราชรับสั่งให้นางกินรีพี่น้อ งทั้ง 7 ซึ่งมีรูปร่างสิริโฉมงดงามและคล้ายคลึงกันมากออกร่าย รำให้พระสุธนหาตัวนางมโนราห์ พระสุธนเองรู้สึกหนักใจมากเพราะทั้งหมดดูคล้ายคลึงกั น เพื่อให้ความรักของพระองค์สมหวัง พระอินทร์จึงลงมาช่วยโดยการกระซิบบอกว่าถ้านางใดมีแม ลงวันทองบินมาจับที่ใบหน้านางนั้นคือพระชายาของพระอง ค์ พระสุธนยินดียิ่งนักและมองเห็นแมลงวันสีทองเกาะอยู่บ นหน้าของมโนราห์จึงรีบดึงพระกรของนางมาทันที พระราชาและทุกๆ คนต่างก็มีความยินดียิ่งนักที่ได้เห็นทั้งคู่สวมกอดก ัน พิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่จึงจัดให้ทั้งสองพระองค์ อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามที่มาบางแห่งก็กล่าวว่า พระสุธนจำนางมโนราห์ได้ก็เพราะพระองค์เห็นแหวนในนิ้ว มือของนางและไม่ได้กล่าวถึงพระอินทร์มาช่วยแต่อย่างใ ดเลย แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งสองพระองค์ก็ได้อยู่ร่วมกันอีก ครั้งหนึ่งหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระสุธนก็ทูลขอพระราชานุญาตจากท้าวทุมราช ให้พระองค์และนางมโนราห์กลับไปเยี่ยมบ้านเมืองของพระ องค์ ท้าวทุมราชทรงอนุญาตและร่วมเสด็จไปยังเมืองปัญจาลนคร ด้วย ท้าวทุมราชได้พบกับพระบิดาของพระสุธน กษัตริย์ทั้งสองทรงแลกเปลี่ยนของขวัญและร่วมเป็นพระส หายกันแต่บัดนั้น หลังจากประทับอยู่ในพระราชวัง 7 วันแล้ว ท้าวทุมราชลาธิดาของพระองค์และทุก ๆ คนเดินทางกลับพระนครของพระองค์ ภายหลังพระสุธนได้ขึ้นครองราชย์และใช้ชีวิตร่วมกับนา งมโนราห์จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์